วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สัปดาห์ที่20

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทวีปอเมริกาใต้

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์

            การตั้งถิ่นฐานของชนพื้นเมืองก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ายึดครอง เชื่อกันว่าชาวอินเดียนแดงได้อพยพมาจากทวีปเอเชีย 
            โดยเดินทางข้ามช่องแคบเบริ่ง เร่ร่อนจากทวีปอเมริกาเหนือลงสู่ ทวีปอเมริกาใต้ และมาตั้งหลักแหล่งอย่างมั่นคงบริเวณเทือกเขาแอนดีส 
            มีหลักฐานที่เด่นชัดคือซากเมือง มาชู ปิกชู Machu Piachu ของอาณาจักรอินคา บริเวณประเทศเปรู 
            นับตั้งแต่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานยุคแรกเมื่อ 20,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ดำรงชีพด้วยการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติ ล่าสัตว์ เก็บของป่ากิน 
            จนถึงยุคการปลูกพืชพรรณและเลี้ยงสัตว์ กลายเป็นการวางรากฐานด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ 
            รวมทั้งการก่อตั้งหมุ่บ้านและสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อของมนุษย์ในสมัยนั้น 
            เมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสตศักราช ดิน แดนอันกว้างใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ สามารถเพาะปลูกพืชได้หลายชนิด ตามลักษณะภูมิอากาศ เช่น มันฝรั่ง ฮอลลูโก กวีนัว กีวีชา ฟักทอง ฝ้ายพริก ข้าวโพด ฯลฯ
            ใน ยุคเปรูโบราณ ลามา อัลปาก้า และวิกูญา เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ สัตว์เหล่านี้ให้เส้นใยสำหรับเสื้อผ้าอันอบอุ่น เนื้อสัตว์สำหรับประกอบอาหาร หนังและกระดูกสำหรับทำเครื่องมือต่าง ๆ หยดน้ำมันสำหรับให้ความร้อนและพลังงาน และทำให้ผู้คนขนส่งสินค้าไปในระยะไกล ๆ ได้ 
            เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตศักราช สัตว์เหล่านี้ทำให้คนสามารถอยู่อาศัยในพื้นที่เปราะบางที่สุดของเทือกเขาแอ นดีส ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,200 เมตร 
            ที่ ซึ่งยากแก่การทำสวนไร่นาและชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นกับการเคลื่อนที่ไปมา ทำให้เข้าถึงระบบนิเวศวิทยาที่หลากหลาย พร้อมทั้งแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐศาสตร์ที่เติมให้สมบูรณ์ 
            ขณะ ที่วัฒนธรรมภาคพื้นค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน เทคนิคใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นมา เช่น การทอเส้นใย การทำโลหะผสมและการทำอัญมณี ทำให้วัฒนธรรมระดับสูงเกิดขึ้น เช่น
ชาแวง ( 1,000 ปีก่อนคริสตศักราช ) ,
พารากัส ( 700 ปีก่อนคริสตศักราช ) ,
โมช ( 100 ปีหลังคริสตศักราช ),
นาซก้า ( 300 ปีหลังคริสตศักราช ),
วารี ( 600 ปีหลังคริสศักราช ),
ชิมู ( 700 ปีหลังคริสตศักราช ),
ชาชาโปยาส ( 800 ปีหลังคริสตศักราช )
และอาณาจักรอินคา 1,500 ปีหลังคริสตศักราช
            ชาว อินคาบูชาเทพเจ้าแห่งผืนดินปาชามามาและเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อินติ อำนาจอธิปไตยของชาวอินคาคือ ผู้นำสูงสุดของทาวันทินซูยู (อาณาจักรอินคา) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งซึ่งได้รับตกทอดมาจากอินติ 

            ใน ยุคที่เฟื่องฟูสูงสุดชาวอินคาได้สร้างงานทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่น่า ประทับใจ ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบันนี้คือซากเมืองคุชโก เมืองหลวงของอาณาจักรอินคาแห่งนี้และพื้นที่รอบ ๆ เช่น ป้อมซัคเซย์วาแมน และป้อมมาชูปิกชู
            เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส Christopher Columbus ชาวอิตาเลียน เดินทางสำรวจพบทวีปอเมริกา ใน ค.ศ. 1492 แล้ว ชาวยุโรปก็สนใจที่จะแล่นเรือมาทางทิศตะวันตกเพิ่มมากขึ้น 
            ในปี ค.ศ. 1499 นักเดินเรือชาวอิตาลียน ชื่อ อเมริโก เวสปุกชี Americo Vespucci เดินทางสำรวจให้กับสเปน ได้แล่นเรือสำรวจชายฝั่งประเทศเวเนสุเอลา ทะเลสาบมาราไคโบ 
            พบเห็นบ้านเรือนของชนพื้นเมืองก่อตั้งอยู่ริมน้ำ คล้ายหมู่บ้านของชาวเวนิส จึงเรียกดินแดนที่เขาพบนี้ว่า เวเนสุเอลา ซึ่งหมายถึง เวนิสน้อย 

            ในปี ค.ศ. 1500 นักเดินเรือชาวโปรตุเกส ชื่อ เปโดร อัลวาเรส คาบรัล Pedro Alvares Cabral ได้แล่นเรือสำรวจชายฝั่งทางด้านตะวันออกของประเทศบราซิล 
            หลัง จากนั้นชาวโปรตุเกสก็เข้ายึดครองทางด้านตะวันออกของทวีป ส่วนสเปนก็เข้าสำรวจทางด้านตะวันตกจากภาคเหนือสู่ภาคใต้ ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่การก่อตั้งอาณานิคมของชาวสเปนหลายแห่ง

            เริ่ม ตั้งแต่ ค.ศ. 1492 โคลัมบัสได้รับการแต่งตั้งจาก พระนางเจ้าอีสเบลลา แห่งสเปน ให้เป็นผู้สำเร็จราชการครอบครองหมู่เกาะอินดิสตะวันตก
ค.ศ. 1519 เฮอร์นาน คอร์เตส Hernan Cortes ได้พิชิตอาณาจักรแอชเต็ก ในเม็กซิโก
            ค.ศ. 1531 ฟรานซีสโก ปิซาโร Francisco Pizarro เข้าสำรวจพบอาณาจักรอินคา และทำสงครามกับชาวอินคา นาน 5 ปีสามารถปราบอาณาจักรอินคาได้
            ค.ศ. 1541 เปโดร เดอ วัลดิเวีย Pedro de Valdivia นำทหารสเปนเข้าครอบครอง ดินแดนชิลีได้สำเร็จ

            ดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ตกเป็นอาณานิคมของสเปนและโปรตุเกส ยกเว้น 
กายอานาและฟอร์กแลนด์ เป็นของสหราชอาณาจักร
เฟรนซ์กิอานา เป็นของฝรั่งเศส
สุรินาเม เป็นของเนเธอร์แลนด์

การประกาศเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้

            ด้วยเหตุที่อาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือได้ประกาศเอกราช ตั้งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา 
            จึง เป็นตัวอย่างที่ชาวอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ต้องการเอกราช โดยเริ่มจากชาวอาณานิคมในเมืองคารากัส ได้ก่อการกบฏขึ้นในปี ค.ศ. 1810 ขับไล่แม่ทัพของสเปน ออกไป และตั้งคณะกรรมการขึ้นปกครองตนเอง 
            โดยมีผู้นำในอาณานิคมหลายคน ที่ต้องการปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ให้เป็นอิสระ เช่น
            ในปี ค.ศ. 1818 โฮเซ เดอ ซาน มาร์ติน Jose de San Martin เป็นผู้นำในการปลดปล่อย ในอาร์เจนตินาและชิลี ให้เป็นเอกราช
            ในปี ค.ศ. 1821 ซิมอน โบลิวาร์ Simon Bolivar เป็นผู้นำในการปลดปล่อย เอกวาดอร์ และเวเนสุเอลา ได้สำเร็จ
            ใน ปี ค.ศ. 1822 โอรสของกษัตริย์แห่งโปรตุเกส ก็ประกาศบราซิลให้เป็นเอกราช โดยมีพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ ค.ศ. 1889 ทหารเข้ายึดอำนาจล้มระบอบกษัตริย์เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ

สัปดาห์ที่19

. การวิจารณ์หรือประเมินคุณค่าข้อมูลในทางประวัติศาสตร์

        เนื่องจากการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วในอดีต จึงมักต้องใช้ข้อมูลซึ่งมาจากรายงานของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์หรือพยานใน เหตุการณ์ ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลจึงจำเป็นจะต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังมาก เป็นพิเศษ เพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงในสิ่งนั้น ในการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์มีการวิจารณ์หรือประเมินคุณค่าข้อมูลอยู่ 2 แบบคือ

        6.1 การ วิจารณ์หรือการประเมินภายนอก (External criticism or External appraisal) เป็นการประเมินและพิสูจน์ว่าข้อมูลที่เก็บนั้นเป็นอันเดียวกันกับข้อมูลที่ ผู้วิจัยมุ่งจะเก็บหรือไม่ หรือเป็นการพิจารณาว่า “ข้อมูลนั้นเป็นของแท้หรือมีความเป็นจริงหรือไม่” นั่นเอง เช่น เอกสารหรือซากโบราณ วัตถุนั้นเป็นของจริงหรือของปลอมหรือจำลองขึ้นมา จำเป็นจะต้องมี การตรวจสอบและพิสูจน์แหล่งที่มาของข้อมูล เช่น อาจใช้การตรวจสอบลายเซ็น ลายมือ ต้นฉบับ การสะกดคำ การใช้ภาษา สำนวนโวหารในการเขียน ตลอดจนค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องในสมัยเดียวกัน เป็นต้น
ในการวิจารณ์ หรือการประเมินผลภายนอกนี้ อาจพิจารณาได้จาก 3 ประเด็นนี้คือ (กาญจนา มณีแสง. หน้า 103 - 104)
            1) สภาพสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลทำให้เกิดหลักฐานชิ้นนั้น
            2) ความรู้ทั่วไป เช่น สภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของข้อมูลถูกต้องตรงกับความรู้ของเราหรือไม่
            3) มีการดัดแปลง ปลอมแปลง ประดิษฐ์เพิ่มเติมให้บิดเบือนไปจากความเป็นจริงหรือไม่
        ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามใช้วิธีการทดสอบทางฟิสิกส์และเคมี ในการตรวจสอบอายุของโครงกระดูก กระดาษ ใบลาน หมึก แผ่นหนัง หนังสือ ก้อนหิน โลหะ เสื้อผ้า ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าสามารถตรวจสอบได้ เช่น การตรวจสอบหาอายุของโครงกระดูกมนุษย์โบราณโดยใช้ C14 ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น อันจะช่วยให้เราตัดสินได้ว่าข้อมูลนั้นเป็นของแท้หรือมีความเป็นจริงเพียงใด ได้
        6.2 การ วิจารณ์หรือการประเมินผลภายใน (Internal criticism or Internal appraisal) เป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ลึกซึ้งลงไปอีก เพื่อทราบว่า ข้อมูลนั้นมีคุณภาพที่เที่ยงตรงเชื่อถือได้หรือไม่ มีคุณค่าเพียงใด โดยพิจารณาถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้นดังนี้
            1) พิจารณาผู้เขียนว่าเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้หรือไม่ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ หรือรู้เห็นในเรื่องนั้น ๆ จริงหรือไม่เพียงใด
            2) พิจารณา ว่าผู้เขียนเขียนในขณะที่มีสภาพจิตใจที่เป็นปกติหรือไม่ เช่น ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกบีบบังคับให้เขียน หรือมีความกดดันทางอารมณ์
            3) พิจารณาว่าผู้เขียนบันทึกหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้วนานเท่าใด พอจะเชื่อถือได้หรือไม่ว่ายังจำเหตุการณ์นั้นได้
            4) พิจารณาว่าเอกสารนั้นมีบรรณานุกรมที่แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนได้ค้นคว้ามามากน้อยเพียงใด
            5) พิจารณาว่าข้อความที่เขียนนั้นมีอคติเกี่ยวกับศาสนา เชื้อชาติ ลัทธิการเมือง ผลประโยชน์ส่วนตัว หรือสภาวะทางเศรษฐกิจหรือไม่
            6) พิจารณาว่าภาษาหรือสำนวนที่ใช้หรือเรื่องราวที่รายงานนั้นอ้างอิงมาจากบุคคลอื่น ๆ หรือเป็นคำพูดของผู้เขียนเอง
            7) พิจารณาว่าการเขียนนั้นมีแรงจูงใจในการบิดเบือนความจริงหรือไม่ เช่น การได้รับแหล่งเงินสนับสนุน เป็นต้น
            8) พิจารณาว่าเอกสารนั้นพอเพียงทั้งทางด้านคุณภาพและปริมาณที่จะนำมาใช้ในการวิจัยหรือไม่
            9) พิจารณาการจัดเรียงหัวข้อว่าวกไปวนมาหรือไม่ และในแต่ละหัวข้อผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนั้น ๆ ละเอียดมากน้อยเพียงใด
            10) พิจารณาว่าผู้อื่นเห็นด้วยกับผู้เขียนนั้นหรือไม่
สิ่ง ต่าง ๆ เหล่านี้ผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เอกสารหรือข้อมูลเหล่านั้นมีความถูกต้องเที่ยงตรงและเชื่อถือได้เพียงใด แต่เมื่อได้พิสูจน์ว่า เอกสารนั้น ๆ มีความถูกต้องเที่ยงตรงแล้ว ย่อมจะเห็นหลักฐานที่เชื่อถือได้

สัปดาห์ที่18

การจำแนกประเภทของการศึกษาประวัติศาสตร์

        หากศึกษาพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ในดินแดนต่าง ๆ พบว่าการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และสังคมของตนเริ่มจากสิ่งที่ อยู่ใกล้ตัวและค่อย ๆ ขยายไปสู่สังคมที่ไกลตัวออกไป โดยทั่วไปสามารถแบ่งขอบเขตการศึกษาประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การศึกษาเฉพาะพื้นที่และการศึกษาเฉพาะหัวข้อ

การศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะพื้นที่
        คือการใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์กำหนดขอบเขตของการศึกษา โดยเน้นศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกรอบพื้นที่ จำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

ประวัติศาสตร์โลก (World History)
        คือการศึกษาเรื่องราวและพัฒนาการของสังคมโลกในลักษณะที่เป็นองค์รวม ไม่เน้นเขตพื้นที่ใดโดยเฉพาะ เช่น การศึกษาอารยธรรมโลก การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม การขยายตัวของลัทธิล่าอาณานิคม สงครามโลก และสงครามเย็นเป็นต้น

ประวัติศาสตร์ชาติ (National History)
        คือการศึกษาเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Local History)
        คือการศึกษาประวัติศาสตร์ในเขตพื้นที่เฉพาะ เช่น ประวัติศาสตร์ชุมชน ประวัติศาสตร์เมือง/จังหวัด โดยเนื้อเรื่องที่ศึกษาอาจจะเน้นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กำเนิด/พัฒนาการของสถาบันใดสถาบันหนึ่งในท้องถิ่น อาชีพ กลุ่มชนต่าง ๆ เชื้อชาติ ศาสนา และประเพณีในท้องถิ่น ฯลฯ

สัปดาห์ที่17


ข้อมูลทั่วไป 

        ECO เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง  ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 แทนที่องค์การเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาในภูมิภาค (Organization of Regional Cooperation for Development: RCD) ซึ่งดำเนินการระหว่างปี 1964 ถึง 1979    สมาชิกก่อตั้ง ECO คือ อิหร่าน ปากีสถาน และตุรกี  ในปี 1992 ECO ได้เปิดรับสมาชิกเพิ่มอีก 7 ประเทศ ทำให้สมาชิกปัจจุบันมี 10 ประเทศประกอบด้วย อัฟกานิสถาน อาเซอร์ไบจัน อิหร่าน คาซัคสถาน คีร์กิซ ปากีสถาน ตุรกี ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน  โดยกำหนดให้วันรับสมาชิกใหม่เป็นวัน ECO (ECO Day) 

       ECO ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  การค้า การพัฒนา ฯลฯ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก   รวมไปถึงกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์  ความชำนาญเฉพาะด้านที่เกิดเป็นประโยชน์ร่วมกันของ ECO 

โครงสร้างองค์การ 

  1. ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี (The Council of Ministers: COM) เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของ ECO ประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศหรือผู้แทนในระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก มีหน้าที่พิจารณา กำหนด และวางนโยบายของ ECO รวมถึงจัดการประชุมสุดยอด (Summit Meeting) ของ ECO
  2. ที่ประชุมคณะผู้แทนถาวร (The Council of Permanent Representatives: CPR) เป็นที่ประชุมของคณะผู้แทนหรือเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกที่ประจำอยู่ ณ ประเทศอิหร่าน และ ECO รวมถึง Director General for ECO Affairs ของกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน  ปฏิบัติหน้าที่เชิงนโยบายในนามของที่ประชุมรัฐมนตรี (COM)  พิจารณางบประมาณ  ทบทวน ติดตามและให้คำปรึกษาแก่ RPC รวมไปถึงติดตามรายงานจากสำนักงานเลขาธิการ ECO
  3. The Regional Planning Council (RPC) ประกอบด้วย Head of the Planning Organization ของประเทศสมาชิก หรือผู้แทนของรัฐบาลจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติหน้าที่ตามยุธศาสตร์  นโยบายและแผน ที่เกี่ยวข้องตามความร่วมมือระดับภูมิภาคตามสนธิสัญญา Izmir รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ด้านนโยบายที่ได้รับจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรี  โดยจะมีการประชุมปีละหนึ่งครั้งก่อนการประชุมในระดับรัฐมนตรี
  4. สำนักงานเลขาธิการ (The General Secretariat)  ก่อตั้งขึ้นตาม Article IX ของสนธิสัญญา Izmir ตั้งอยู่ที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ทำหน้าที่ด้านงานบริหารของ ECO  โดยมี Dr. Shamil  Aleskerov จากประเทศอาเซอร์ไบจัน เป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน (ดำรงตำแหน่ง สิงหาคม 2012-สิงหาคม 2015) นอกจากนี้ยังมีผู้ช่วยเลขาธิการ และคณะบุคคล (Directorate) อีก 6 คน  ทำหน้าที่งานบริหารองค์กรของ ECO
  5. องค์กรชำนัญพิเศษและสถาบันระดับภูมิภาค (Specialized Agencies and Regional Institutions) เป็นองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การกำกับของสำนักงานเลขาธิการ ECO  ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 8 องค์กร ได้แก่ 
องค์กรชำนัญพิเศษ 
  1. ECO Cultural Institute
  2. ECO Science Foundation
  3. ECO Education Institute
สถาบันระดับภูมิภาค 
  1. ECO Chamber of Commerce and Industry
  2. ECO Reinsurance Company
  3. ECO College of Insurance
  4. ECO Trade & Development Bank
  5. ECO Consultancy & Engineering Company

การดำเนินงานสำคัญและพัฒนาการล่าสุด 
การจัดประชุม 

         การประชุมระหว่างกลุ่มรัฐสมาชิก ECO มีทั้ง (1) การประชุมระหว่างคณะกรรมการและองค์กรภายในต่างๆ (2) การประชุมในระดับรัฐมนตรี (Ministerial Meeting) และ (3) การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำประเทศ (Summit)   โดยการประชุมระหว่างคณะกรรมการและองค์กรภายในแบ่งเป็นการประชุมตามประเด็นต่าง ๆ คือ การค้าและการลงทุน การสื่อสาร และโทรคมนาคม การเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว พลังงาน แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อม การจัดการยาเสพย์ติด และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 

           การประชุมทั้งในระดับคณะกรรมการและระดับรัฐมนตรีจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ส่วนการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำประเทศ (Summit) จะจัดขึ้นทุก  2 – 3 ปี  ทั้งนี้ การจัดประชุมครั้งล่าสุด (12th ECO Summit Meeting) จัดขึ้นที่กรุงบากู  ประเทศอาเซอร์ไบจัน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2012 โดยมี H.E. Dr. İIham Aliyev ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจันเป็นประธาน  ในโอกาสพิเศษ ECO ครบรอบ 20 ปี (1992-2012)    

           ทั้งนี้ การจัดประชุม Summit ครั้งต่อไป (13th ECO Summit Meeting) จะมีขึ้นที่ประเทศปากีสถาน  ขณะที่การจัดประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งต่อไป (21st Council of Ministers Meeting) จะมีขึ้นที่กรุงดูชานเบ ประเทศทาจิกิสถาน 
การดำเนินงานของ ECO 

            กิจกรรมของ ECO ดำเนินการผ่านคณะกรรมการภายใต้การกำกับดูแลของเลขาธิการ ECO โดยแบ่งสาขาความร่วมมือออกเป็น 7 สาขา คือ 

           1. การค้าและการลงทุน  โดยเน้นสร้างความตกลงการค้า  (Trade Agreement) การอำนวยความสะดวกและลดกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพิธีศุลกากร (Customs Matters)  การปกป้องการลงทุนและอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราเพื่อกระตุ้นการลงทุน  รวมไปถึงการเสริมศักยภาพของสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุน  อาทิ การรื้อฟื้น ECO Chamber of Commerce and Industry  การก่อตั้ง Trade Promotion Organizations (TPOs) เป็นต้น 

           2. การขนส่ง การสื่อสารและโทรคมนาคม
  ปฏิบัติตามกรอบ Transit Trade Framework Agreement  พัฒนาการขนส่งทางถนน และทางรางระหว่างประเทศสมาชิก  การออกตรวจลงตราสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง (Drivers and Crews) รวมไปถึงการวางระบบอินเตอร์เน็ตออนไลน์ (Online System)  และจัดตั้งจุดบริการธนาณัติ (financial postal services) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศสมาชิก 

           3. กิจการพลังงาน แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อม 
 โดยบรรลุแผนแม่บท The New Plan of Action on Energy/Petroleum Cooperation in the ECO Region (2011-2015) ในการประชุมระดับรัฐมนตรี ECO Ministerial Meeting on Energy/Petroleum ครั้งที่ 2 ที่กรุงดูชานเบ้ เมื่อปี 2010 เพื่อเป็นกรอบการทำงานร่วมกันในด้านพลังงาน  ปิโตรเลียม     ในด้านสิ่งแวดล้อม ECO บรรลุแผนแม่บท The Plan of Action on Environmental Cooperation and Global Warming (2011-2015) ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรี ECO Ministerial Meeting on Environment ครั้งที่ 4 ที่กรุงเตหะราน เมื่อปี 2011  รวมถึงก่อตั้งสถาบันด้านสิ่งแวดล้อม (The ECO Institute of Environmental Sciences and Technology: ECO-IEST) ในปี 2011 เพื่อดูแลกิจการด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิก 

           4. การเกษตรกรรม  อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) โดยประสานงานกับองค์การ FAO แห่งสหประชาชาติ  การจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตร  การส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)  นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการตั้งมาตรฐานร่วมกัน  การส่งเสริมการท่องเที่ยว  ความร่วมมือด้านเยาวชน  และการบริหารจัดการกับภัยธรรมชาติ  เป็นต้น 

           5.  กิจการด้านทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ  เสริมสร้างความร่วมมือด้านยา (Pharmaceutical)  ความร่วมมือด้านการบรรเทาทุกข์  กาชาด  และยกระดับความปลอดภัยด้านสุขอนามัย  ตามเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDG)  และการจัดการกับปัญหายาเสพติด 

           6. โครงการวิจัยและการเก็บข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจ เพื่อเร่งสร้างบุคลากร และหน่วยงานที่มีศักยภาพด้านการวิจัยและงานสถิติทางเศรษฐกิจ  และสร้าง ECO Statistical Network (ECOSTAT) รองรับฐานข้อมูลเศรษฐกิจร่วมกัน  ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการวางทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค  

           7.  กิจการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อาทิ  WTO  OIC  Islam Development Bank รวมไปถึงประเทศนอกกลุ่ม ECO (non-ECO States)  ปัจจุบัน ECO มีบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับองค์การระหว่างประเทศและคู่เจรจา มากกว่า 30 ฉบับ  และปรับปรุง  A comprehensive Plan of Action ที่กำหนดแนวทางขยายความร่วมมือเชิงลึกระหว่าง ECO กับต่างประเทศ 

          นอกจากนี้  ECO ยังดำเนินงานฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถาน (Reconstruction of Afghanistan) โดยจัดตั้งกองทุนพิเศษ Special Fund for Reconstruction of Afghanistan มีวงเงินกว่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  
และลงนาม Protocol กับ Turkish International Cooperation and Development Agency (TIKA) ของตุรกี ในปี 2010 เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดทำโครงการฟื้นฟูอัฟกานิสถานระหว่าง ECO กับตุรกี 

บทบาทของไทยต่อ ECO 

           ประเทศไทยและองค์การ ECO ยังไม่มีความร่วมมือโดยตรง แต่มีความร่วมมือในกรอบ ECO-ASEAN โดยเริ่มปรากฏความเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันตั้งแต่ครั้งการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ ECO-ASEAN ครั้งที่ 1 (The 1st ASEAN-ECO Foreign Ministers Meeting) เมื่อ 28 กันยายน 1995 ที่นครนิวยอร์ก  โดยแสวงหาความร่วมมือระหว่างองค์การระหว่างประเทศทั้งสองในด้านการค้า การลงทุน  การขนส่งและโทรคมนาคม  กิจการพลังงาน  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  และการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  และได้มีการประชุมกรอบ ECO-ASEAN มาโดยตลอด 

           ทั้งนี้ ASEAN และ ECO ได้ขยายกรอบความร่วมมือให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยในการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 10 และ 11  เห็นพ้องขยายลู่ทางความร่วมมือในด้านการค้า การลงทุน  การท่องเที่ยว  การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมไปถึงการพิจารณาลู่ทางพัฒนา Inter-regional Connectivity 

           โดยล่าสุด กรอบความร่วมมือ ECO-ASEAN ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 12  (The 12th ASEAN-ECO Joint Ministerial Meeting) ในระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน 2012 ที่นครนิวยอร์ก  โดยมีเลขาธิการของ ASEAN และ ECO เข้าร่วม  เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองภูมิภาค ให้มีความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศสมาชิกและมีกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบของหุ้นส่วน ECO-ASEAN partnership มากยิ่งขึ้น 

สัปดาห์ที่16

หน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ

  1. จัดประชุมปรึกษาหารือระหว่าง "รัฐ"
  2. วางกฎเกณฑ์ต่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง "รัฐ"
  3. จัดสรรทรัพยากร (resource allocation)
  4. เสนอการใช้วิธีป้องกันร่วมกัน (collective defence)
  5. เสนอการใช้วิธีปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
  6. ส่งเสริมความร่วมมือเฉพาะด้านในด้านต่าง ๆ

องค์กรหลักระหว่างประเทศในเครือสหประชาชาติ

ทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้


ทวีปยุโรป

รวม 21 องค์กร ได้แก่

ทวีปแอฟริกา

รวม 3 องค์กรคือ

ทวีปเอเชีย

รวม 4 องค์กรคือ